วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
Badminton

ประวัติของกีฬาแบดมินตันมีต้นกำเนิดที่ไม่ชัดเจน ไม่มีหลักฐานแน่ชัดถึงแหล่งกำเนิดของ กีฬาประเภทนี้ มีแต่หลักฐานบางชิ้นชี้บ่งให้ทราบว่า กีฬาแบดมินตันมีเล่นกันประปรายในยุโรปตอนปลายศตวรรษที่ 17 จากภาพสีน้ำมันหลายภาพได้ยืนยันว่า กีฬาแบดมินตันเล่นกันแพร่หลายในราชสำนักต่าง ๆ ของยุโรป แม้ว่าจะเรียกกันภายใต้ชื่ออื่นๆ ก็ตาม
จากหลักฐานของภาพวาดเก่า ๆ ปรากฏว่ามีการเล่นเกมในลักษณะที่คล้ายกับลูกขนไก่ในประ เทศจีนช่วงศตวรรษที่ 7 ชาวจีนนำอีแปะที่มีรู แล้วใช้ขนไก่หลายเส้นเสียบผ่านรูอีแปะสองสามอัน ให้อีแปะเป็นตัวถ่วงน้ำหนัก ใช้เชือกมัดตรงปลายเอาไว้ไม่ให้หลุด เวลาเล่นจะตั้งวง เล่นกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป หรือจะเล่นพร้อมกัน 3-4 คน ใช้เท้าเตะกันไปมาทำนองเดียวกับที่คนไทยเล่นตะกร้อล้อมวง
ในศตวรรษที่ 13 ปรากฏหลักฐานว่า ชาวอินเดียนแดงใช้ขนนก เสียบมัดติดกับก้อนกลม ให้ปลายหางของขนไก่ชี้ไปในทางเดียวกันเป็นพู่กระจายออกด้านหลัง เวลาเล่นใช้มือจับก้อนกลมแล้วปาไปยังผู้เล่นอื่น ๆ ให้ช่วยกันจับ ตลอดช่วงเวลาที่กล่าวมานี้ ยังไม่มีการใช้แร็กเกต หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ตีปะทะลูกขนไก่ แต่ใช้มือ หรืออวัยวะอื่น ๆ แทน
จนกระทั่งในศตวรรษที่ 14 ชาวญี่ปุ่นได้มีการใช้ขนไก่
อเมริกาตอนใต้ ใช้หญ้าฟางพันขมวดเข้าด้วยกันจนเป็นก้อนกลม แล้วใช้ขนไก่ หรือขนนกเสียบผูกติดกับหัวไม้ แล้วใช้ไม้แป้นที่ทำจากไม้กระดาน สลักด้วยลวดลายหรือรูปภาพ หวดเจ้าลูกขนไก่ไปมา นับว่าเป็นวิวัฒนาการในรูปลักษณ์ของการเล่นแบดมินตันที่ใกล้เคียงกับยุคปัจจุบันมากที่สุด โดยมีการใช้แร็กเกตตีลูกขนไก่แทนการใช้อวัยวะของร่างกาย
ในศตวรรษที่ 17 พระราชินีคริสตินา แห่งสวีเดน ทรงแบดมินตันเป็นประจำ โดยมีไม้แร็กเกตที่จำลองมาจากแร็กเกตเทนนิส เริ่มมีลูกขนไก่ที่ใช้ขนไก่หรือขนนกผูกเสียบติดกับหัวไม้ก๊อก และปรากฏมีภาพวาดแสดงให้เห็นมกุฏราชกุมารเจ้าฟ้าชายเฟรดเดอริคแห่งเดนมาร์คในศตวรรษที่ 17 เช่นเดียวกัน ทรงแบดมินตันด้วยแร็กเกต แต่ในยุคนั้นเรียกเกมเล่นนี้ว่าแบทเทิลดอร์กับลูกขนไก่ และเกมเล่นในลักษณะเดียวกัน มีการเล่นในราชสำนักของเยอรมนีสมัยศตวรรษที่ 18 กษัตริย์ของปรัสเซียเฟรดเดอริคมหาราช และพระเจ้าหลานเธอเฟรดเดอริค วิลเลียมที่สอง ได้ทรงแบดมินตันอย่างสม่ำเสมอ
ประวัติของกีฬาแบดมินตันมาบันทึกกันแน่นอนและชัดเจนในปี ค.ศ. 1870 ปรากฏว่ามีเกมการเล่นกีฬาลูกขนไก่เกิดขึ้นที่เมืองปูนา ในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ห่างจากใต้เมืองบอมเบย์ ประมาณ 50 ไมล์ ต่อมามีนายทหารอังกฤษที่ไปประจำการอยู่ที่นั่น นำเกมการตีลูกขนไก่กลับไปเล่นในเกาะอังกฤษ และเล่นกันอย่างกว้างขวาง ณ คฤหาสน์ "แบดมินตัน" ของดยุ๊คแห่งบิวฟอร์ด ที่ตำบล กล๊อสเตอร์เชอร์ ในปี ค.ศ. 1873 เกมกีฬาตีลูกขนไก่จึงถูกเรียกว่า "แบดมินตัน" ตามชื่อของสถานที่
กติกาแบตมินตัน

การเล่นคู่ (DOUBLES PLAY)
เมื่อได้ตกลงกันว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายส่งลูกก่อนผู้เล่นซึ่งอยู่ในสนาม "ส่งลูก" แทยงมุมตรงกันข้ามถ้าเสียผู้ที่คู่กับฝ่ายส่งลูก จะต้องเป็นผู้ส่งลูกต่อไป ถ้าเสียอีก จะเปลี่ยนการส่งลูกให้แก่ฝ่ายตรงข้ามอีกทีหนึ่งซึ่งแต่ละฝั่งจะสิทธิการส่งลูกข้างละ 2 ครั้งผู้ที่จะรับลูกส่งได้นั้นต้องเป็นผู้ที่ส่งลูกมาให้เท่านั้น แต่ถ้าลูกถูกตัวผู้เล่นที่ร่วมกันกับผู้ที่รับลูกส่ง หรือผู้ที่เล่นร่วมกันรับลูกส่ง ตีลูกส่งนั้น ผู้ที่ส่งลูกจะได้ 1 คะแนน
ข้างที่ตั้งต้นเกมส่งลูกได้คนเดียวในการเข้าตีโต้คราวแรกผู้ส่งลูกนั้นจะส่งลูกได้เรื่อยๆ จนกว่าจะเสียแต้มในการตีโต้คราวต่อๆไป ผู้เล่นร่วมแต่ละข้างส่งลูกได้จนครบจำนวน ข้างที่ชนะเกมจะต้องเป็นข้างที่ส่งลูกก่อนในเกมต่อไป
ถ้าผู้เล่นยืนผิดคอร์ดเวลาส่งลูก และบังเอิญเป็นฝ่ายได้แต้ม จะต้องมีการให้"เอาใหม่" โดยเงื่อนไขจะต้องใช้สิทธิเรียกร้อง ก่อนที่จะมีการส่งลูกครั้งต่อไป
การเล่นเดี่ยว(SINGLES PLAY)
การเล่นเดี่ยว ให้ใช้กติกาในข้อ 9-12 เว้นแต่(ก.) ผู้เล่นจะต้องส่งลูก หรือรับลูกส่งให้สนามรับลูกส่งขวามือ แต่เฉพาะเมื่อการนับคะแนนของผู้ส่งลูกจำนวน 0(ศูนย์) หรือการนับคะแนน ของเขาได้เป็นจำนวนเลขคู่เท่านั้นการส่งลูกและรับลูกจะต้องส่งและรับในสนามส่งลูกทางซ้ายมือเมื่อการนับแต้มของผู้ส่งลูกได้จำนวนเป็นคี่(ข.) ผู้เล่นต้องเปลี่ยนสนามส่งลูกภายหลังที่ทำคะแนนได้ 1 คะแนน
การทำ"เสีย"(FAULTS)
การทำ"เสีย" ซึ่งผู้เล่นที่เป็นข้าง"ส่งลูก" เป็นผู้ทำขึ้น จะทำให้เสียสิทธิการส่งลูก แต่ถ้าเกิดขึ้นจากฝ่ายรับลูกผู้ที่ส่งลูกจะได้แต้ม
การทำ"เสีย"เกิดขึ้นเมื่อ:-
(ก.) ในการส่งลูก
(1.) ถ้าลูกที่กำลังถูกตีนั้นอยู้สูงกว่าเอวของผู้ส่ง
(2.) ถ้าตัวก้านของแร็กเก็ตไม่ชี้ตำลงถึงขนาดที่เห็นได้ชัดว่าส่วนหัวของแร็กเก็ตทั้งหมดอยู่ตำกว่าทุกส่วนของมือที่จับแร็กเก็ต
ของผู้ส่งลูก(ข.) ในการส่งลูก ถ้าลูกไปตกอยู่ในสนามส่งลูกที่ไม่ทแยงมุมตรงข้ามกันกับผู้ส่งลูกหรือไม่ถึงเส้นเสิร์ฟลูกสั้น หรือออกข้างสนามหรือออก
ทางด้านท้ายสนาม(ค.) ถ้าเท้าของผู้ส่งลูกไม่อยู่ในสนามส่งลูกที่จะต้องส่งลูกไป หรือเท้าของผู้เล่นที่เป็นผู้รับลูกไม่อยู่ในสนามส่งลูกที่ทแยงมุมตรงข้าม
จนกระทั่งลูกได้ถูกส่งออกมาแล้ว(ง.) ในขณะที่ทำการส่งลูกหรือก่อนที่จะส่งลูก ถ้าผู้เล่นคนใดแสร้งทำ หรือหลอกล้อก่อนที่จะส่งลูกไปจริงๆ
หรือจงใจขัดขวางหรือทำให้คู่ต่อต้านชะงัก(จ.) ในการส่งลูกก็ดี หรือในการตีโต้ลูกออกไปนอกสนาม หรือผ่านทะลุตาข่ายไป หรือผ่าานไปใต้ตาข่าย
ถูกตัวหรือเครื่องแต่งกายผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง (ลูกที่ตกลงบนเส้นจะถือว่าเป็นลูกที่ดี)(ฉ.) ถ้าลูกทีกำลังเล่น ฝ่ายตีโต้ตีก่อนที่จะข้ามตาข่าย (อย่างไรก็ดี ผู้ตีลูกอาจใช้แร็กเก็ตตามลูกที่ที่ตนตีข้ามตาข่ายไปได้)
ประโยชน์ของกีฬาแบดมินตัน

แบดมินตันก็เช่นเดียวกับกีฬาชนิดอื่นๆที่มีประโยชน์มากสำหรับผู้เล่น ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นข้อๆ ดังนี้
ทำให้มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ
ทำให้มีสายตาและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วว่องไว
ทำให้เป็นผู้ที่มีการคาดการณ์ล่วงหน้าได้
ทำให้เป็นผู้ที่สามารถตัดสินใจได้อยางรวดเร็วทันเวลา
ทำให้รู้จักแบ่งหน้าที่และรักษาหน้าที่ มีการร่วมมือกับผู้อื่นได้ดี
สามารถเข้ากับคนอื่นได้ และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
ทำให้เป็นผู้ที่มีน้ำใจเป็นนักกีฬารู้แพ้รู้ชนะ และรู้จักให้อภัย
ทำให้เป็นผู้ที่รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
คุณสมบัติของผู้เล่นแบดมินตัน

แบดมินตันเป็นกีฬาที่ต้องใช้ความอดทน อดกลั้นทั้งกำลังกายและกำลังใจ
นอกจากผู้เล่นจะต้องมีสมรรถภาพร่างกายที่ดีเลิศแล้วควรต้องมีคุณสมบัติต่างๆต่อไปนี้
มีความสนใจอย่างแรงกล้า
มีความกระตือรือร้นในการเรยีนรู้ และหาวิธีการเล่นใหม่ๆอยู่เสมอ
มีความต้องการให้ตัวเองมีความสามารถเพิ่มขึ้น
มีสายตาปกติและสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว
มีร่างกายอ่อนตัวดี ยืดหยุ่นได้ดี
สามารถใช้มือและแร็กเก็ตให้สัมพันธ์กันได้ดี
มีความเข้าใจในการเล่นอย่างแจ่มแจ้ง
มีร่างกายสมบูรณ์ จิตใจผ่องใส และมีพลังจิตที่เข้มแข็ง
มีระเบียบวินัยที่ดี และมีความรับผิดชอบสูง
เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ฝึกสอนอย่างเคร่งครัด
การเล่นประเภทเดี่ยว

การเล่นประเภทเดี่ยวนี้ ผู้เล่นมีโอกาสปรับปรุงการเล่นได้โดยสะดวกตลอดเวลา เช่น การส่งลูกแบบระยะสั้นถ้าเห็นว่าฝ่ายตรงกันข้ามตบลูกเก่ง การยืนอย่ายืนล้ำออกมาให้ส่งจากสนามใกล้เส้นกลาง เพื่อที่จะได้กลับตัวรวดเร็วและต้องพยายามให้คู่แข่งวิ่งหมุนไปมาอยู่เสมอ
ตำแหน่งการยืนส่งลูก
ผู้เล่นควรยืนห่างจากเส้นหน้าประมาณ 3 ฟุตเพื่อให้ส่งลูกได้สูงและไกลมากที่สุด ไม่ควรส่งลูกสั้นในการเล่นประเภทเดี่ยวเว้นแต่คู่แข่งจะยืนไป ทางด้านหลังของสนาม การส่งลูกไม่ควรทำอย่างรีบเร่งหรือไม่ระมัดระวัง เพราะถ้าส่งลูกเสียก็เท่ากับเสียโอกาสที่จะทำคะแนนไป และเมื่อส่งลูกไปแล้ว ต้องรีบถอยไปอยู่ตรงกึ่งกลางสนามของตน
การตอบโต้ลูกที่ส่งมาโด่งหลัง
การตอบโต้ลูกนี้ต้องใช้ลูกโด่งหลังเช่นเดียวกัน เพื่อเปลี่ยนให้ฝ่ายส่งลูกเป็นฝ่ายรับ ควรโต้ตอบไปทางข้างหลังทางด้านหลังมือของฝ่ายตรง ข้าม ซึ่งอาจจะทำให้ไม่สามารถโต้ตอบกลับมาได้ หรือบางครั้งเราอาจใช้ลูกหยอดหน้าตาข่าย แต่ต้องใช้เมื่อมีความชำนาญมากๆ เพราะลูกหยอดจะใช้ ได้ดีเมื่อคู่ต่อสู้พะวงทางด้านหลังเท่านั้น
การเล่นประเภทคู่
การเล่นประเภทคู่ เป็นการเล่นที่มีความเร็วมากกว่าการเล่นประเภทเดี่ยว เพราะผู้เล่นแต่ละคนต้องรับผิดชอบ รักษาเรื่องพื้นที่ในสนามแคบกว่า เข้าประชิดตีลูกได้เร็วขึ้นและใช้ลูกตบได้บ่อยโดยไม่ต้องเกรงว่าจะเสียการทรงตัว เพราะคู่พร้อมที่จะตีลูกคอยช่วยเหลืออยู่แล้ว การเล่นคู่ต้องอาศัยการประสานงานกันผู้เล่นไม่เพียงแต่คำนึงถึงการ ตีลูกของตนเองอย่างเดียว ยังต้องคิดถึงคู่ของตน คอยหาทางส่งลูกข้ามไปยังเป้าหมายที่ฝ่ายตรงกันข้ามไม่สามารถ ตีลูกอันตรายกลับมาได้ นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจกลวิธีการเล่นต่างๆ เหมือนกันทุกประการ การเล่นคู่ต้องหัดคู่กันมา เป็นเวลานานจึงจะรู้ถึงจิตใจกันดี
การเล่นประเภทคู่ที่นิยมกันทั่วไปมีอยู่ 3 อย่างคือ
ก. การเล่นประเภทชายคู่ ข. การเล่นประเภทหญิงคู่ ค. การเล่นประเภทคู่ผสม
การเล่นคู่ของนักแบดมินตันทั้งชายและหญิงมีพื้นฐานอันเดียวกัน แตกต่างกันที่ฝ่ายหญิงไม่รุนแรงเท่านักแบดมินตันฝ่ายชาย การเคลื่อนไหวไม่ว่องไวเท่าฝ่ายชาย แต่ถ้าคู่หญิงมีการตั้งรับที่เหนียวแน่น และสามารถตีลูกได้ถึงหลังสนาม ก็จะมีโอกาสตีชนะได้ ง่ายฝ่ายที่ตีกดลูกลงตำมักจะเป็นฝ่ายรุก ส่วนฝ่ายที่งัดลูกโยนมักจะเป็นฝ่ายรับ ส่วนการเล่นชายคู่จะเล่นรวดเร็วและรุนแรงกว่า แต่อย่างไรก็ตามการเล่นประเภทคู่โดยทั่วไปมีวิธีการเล่นหลายหลากแบบไหนก็แล้วแต่ผู้เล่นแต่ละคู่จะตกลงกัน
การเล่นแบบนี้ผู้เล่นจะรับผิดชอบเฉพาะสนามของด้านตน คือสนามทางด้านซ้ายคนหนึ่งและสนามทาฃด้านขวาอีกคนหนึ่ง ตำแหน่งการยืนของแต่ละคนคือกลางสนามด้านของตน เพื่อที่จะได้วิ่งไปรับลูกข้างหน้า ลูกหยอด หรือถอยหลังไปรับลูกทาง ด้านหลังให้ทันระโยชน์ในการยืนแบบนี้เพื่อ
ก. ผู้เล่นรู้ว่าลูกไหนตนควรเล่น และลูกไหนควรปล่อยให้ร่วมเล่น
ข. เป็นการสอนให้ผู้เล่นกลับมายืนในตำแหน่งขอวตนได้รวดเร็วหลังจากตีลูกไปแล้ว
ค. ฝึกฝนให้ผู้เล่นเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและถอยหลังได้อย่างดียิ่ง
ง. เป็นการรักษาเนื้อที่ไม่ให้มีที่ว่าง
การเปลี่ยนตำแหน่งการตี ซึ่งในบางครั้งผู้เล่นที่อยู่สนามด้านขวาต้องวิ่งเข้าไปรับลูกหน้าตาข่าย และฝ่ายตรงข้ามอาจจะตีลูกไปข้างหลัง ดังนั้นผู้ที่เล่นอยู่ด้านซ้ายของสนามจะต้องวิ่งเข้าไปช่วยตีลูกในสนามด้านขวา และผู้เล่นในสนามด้านขวาซึ่งไปเล่นลูกหน้าตาข่ายจะต้อง วิ่งกลับเล่นลูกทางด้านซ้ายทันที เพื่อเป็นการรักษาเนื้อที่ของสนามฝ่ายตนไม่ให้ว่างเป็นการเปลี่ยนด้านกัน การเล่นแบบนี้มีผลดีเมื่อทั้ฃสอฃคนมีฝีมือเท่าๆกัน ถ้าทั้งสองฝ่ายมีฝีมือที่ต่างกันจะทำให้เสียเปรียบฝ่ายตรงข้าม เพราะฝ่ายตรงข้าม จะเลือกตีใส่ผู้เล่นที่มีฝีมืออ่อนกว่า หรือ จะโยกหน้าหลังเฉพาะผู้เล่นที่อยู่ทางซีกใดซีกหนึ่งของสนามเพียงคนเดียว
การเล่นแบบนี้คนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าคอยระวังรักษาตลอดแนวหน้าตาข่าย อีกคนหนึ่งอยู่ข้างหลังคอยระวังตลอดสนามด้านหลัง วิธีการเล่นคือ คนไหนเป็นผู้ส่งลูกหรือเป็นผู้รับลูกก็ไปเล่นข้างหน้า อีกคนก็เป็นผู้เล่นหลังการเล่นหน้าหลังนี้ผู้ด้านหลังอาจถูก โยกซ้ายและขวาจนหมดแรงได้เมื่อตกเป็นฝ่ายรับ เนื่องจากสนามประเภทคู่กว้างกว่าสนามประเภทเดี่ยว
การเล่นแบบทแยงมุมโดยแบ่งสนามในรูปลากเส้นทะแยงมุม จากมุมด้านหน้าทะแยงสนามไปสู่มุมด้านขวาหลัง ให้ผู้เล่นคนหนึ่งรับผิดชอบ บริเวณหน้าตาข่ายกับด้านขวาบางส่วนของสนาม ส่วนผู้เล่นอีกคนหนึ่งรับผิดชอบซีกซ้ายโดยคุมการตีลูกเหนือศรีษะแทนการตีลูกหลังมือ ทั้งสองมีการหมุนแทนที่กันในแบบทวนเข็มนาฬิกา คือคนที่วิ่งเข้าไปรับลูกหยอดเวลาถอยกลับจะถอยออกมาทางซ้ายเสมอ และผู้เล่นอีกคน หนึ่งที่อยู่ด้านหลังจะเคลื่อนย้ายตัวมาซีกขวา เพื่อป้องกันไม่ให้สนามมีที่ว่าง
การเล่นหมุนเวียนนี้นิยมเล่นกันมาก โดยผู้เล่นยืนทะแยงคล้ายแบบทะแยงมุม เมื่อคนหน้าวิ่งเข้าไปรับลูกที่หน้าตาข่าย อีกคนหนึ่งจะอยู่ด้านหลังหรือถ้าคนใดคนหนึ่งถอยไปตบลูกทางด้านหลังของสนาม อีกคนจะคอยยืนคุมพื้นที่ด้านหน้า โดย ยกแร็กเก็ตให้สูงในถ้าเตรียมพร้อมอยู่เสมอแต่ถ้าเป็นฝ่ายตั้งรับโดยยืนคนละข้างของสนาม ผู้เล่นที่อยู่ด้านใดก็จะต้องวิ่ง เข้าไปรับลูกหยอดด้านนั้น ในทำนองเดียวกันถ้าเป็นลูกโด่งหลังผู้เล่นด้านใดก็จะต้องถอยหลังไปตีลูกด้านนั้นเช่นเดียวกัน
การเล่นแบบผสม
การเล่นแบบนี้เป็นการรวมเอาข้อดีทั้ง 4 แบบมาไว้ด้วยกัน โดยขณะผู้ส่งลูกผู้เล่นจะยืนแบบหน้า-หลัง คือผู้เสิร์ฟเป็นผู้โต้ตอบและป้องกันแดนหน้า คู่ขาจะเป็นผู้รุกโจมตีอยู่ด้านหลัง เมื่อตกเป็นฝ่ายรับงัดลูก ออกไปจะเป็นการยืนแบบแบ่งคอร์ดเพื่อจำกัดพื้นที่การรับ ทั้งนี้ผู้เล่นทั้ง 2 คนสามารถช่วยเหลือกันได้ ตลอดเวลา แบบหมุนเวียนกันที่ในลักษณะทวนเข็มนาฬิกา วิธีการเล่นแบบนี้นับเป็นวิธีการเล่นที่ดีที่สุด โดยผู้เล่นต้องมีความสามารถใกล้เคียงกัน และต้องฝึกฝนเรียนรู้วิธีการเล่นซึ่งกันและกันมานานด้วยจึงจะได้ผลดี

ลูกตบเป็นลูกที่ตีจากเบื้องสูงสู่เบื้องต่ำ ในวิถีที่รุนแรงและรวดเร็ว เป็นลูกที่ใช้บีบบังคุบอีกฝ่ายหนึ่งให้ตกเป็นฝ่ายรับ และมีเวลาตีจำกัดที่สุดเพื่อโต้ตอบกลับ ถ้าผู้เล่นตบได้ถูกต้องจะเป็นลูกที่ใช้ได้ผลดี ข้อแนะนำในการตีลูกตบ มีดังต่อไปนี้ คือ
เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่ลูกจะตกลงมาอย่างรวดเร็ว
งอหรือย่อเข่าเล็กน้อย
ขณะที่ตบ ให้ไหล่ขวาอยู่ข้างหลัง และไหล่ซ้ายอยู่ข้างหน้า หันเข้าหาตาข่าย
งอแขนและข้อมือข้างหลังลำตัว
จับไม้ให้แน่นพอดี
ตีลูกขนไก่ขณะหยุดเหนือศรีษะ
เหวี่ยงไม้ตามลูกไปข้างล่างตัดกับลำตัวทางซ้าย
ให้หักข้อมือขณะสัมผัสลูก จะทำให้หัวไม้หักต่ำลงสู่พื้น และลูกก็จะไปได้เร็วและแรง
การรับลูกตบ
การรับลูกตบ ผู้รับจะต้องตั้งสมาธิให้มั่นคง คอยดูทิศทางที่ลูกจะพุ่งมา แล้วฟุตเวิร์คเข้าไปยังตำแหน่งที่ลูกพุ่งมา ส่วนมากลูกตบจะมาทางด้านซ้าย และทางด้านขวาของลำตัว แต่บางครั้งลูกอาจจะพุ่งเข้าหาลำตัวก็ได้
การรับลูกตบที่มาทางขวา ให้หันไปทางขวาเล็กน้อย เท้าขวาวางไว้ข้างหลัง แรงตีของลูกจะมาจากการเหวี่ยงของแขนและแรงตวัดตีของข้อมือ
ส่วนลูกตบที่พุ่งมาทางด้านซ้ายของลำตัว ให้หันตัวไปทางซ้ายเล็กน้อย พร้อมกับวางเท้าซ้ายไว้ข้างหลัง แรงตีของลูกเช่นเดียวกับการรับลูกตบ ทางด้านขวาของลำตัว
การรับลูกตบบทบี่พุ่งเข้าหาตัว โดยการฟุตเวิร์คให้พ้นจากแนวของลูกตบ ให้ร่างกายหลบออกด้านข้างจะเป็นด้านขวา หรือด้านซ้ายก็ได้ แล้วรับลูกให้ข้ามตาข้ายไป
การรับลูกตบทุกลูกไม่จำเป็นต้องงัดโด่งหรือกระดิกหยอดกลับไป ควรสวนตอบด้วยลูกดาด โดยเล็งเป้าหมายไปยังที่ว่างของสนามด้วย
ลูกหยอด (THE DROP SHOT)

ลูกหยอดคือลูกที่ตีจากส่วนต่างๆของสนามให้ลูกพุ่งย้อยข้ามตาข่าย และตกลงสู่พื้นสนามด้านตรงข้าม โดยไม่เกินเส้นส่งลูกสั้น จะตีลูกหยอดด้วยลูกหน้ามือก็ได้ หรือ ตีจากลูกโด่งเหนือศรีษะก็ได้ ลูกหยอดเป็นลูกที่ทำให้คู่แข่งขันละทิ้งพื้นที่ส่วนหลังของสนามเพื่อ เข้ามาตีลูกบริเวณหน้าตาข่าย
ลูกหยอดมีหลายแบบเช่น ลูกหยอดหน้าตาข่าย ลูกผลัก ลูกแตะหยอด เป็นต้น การหยอดต้องบังคับให้ลูกตกชิดตาข่ายให้มากที่สุด
การตีลูกหยอด
การตีลูกหยอดมีวิธีการดังนี้
เวลาที่ตีลูกหยอดให้เยียดแขนตึงเต็มที่
เวลาถูกลูกจะอยู่ห่างลำตัวโดยเอียงหน้าไม้ไปในทิศทางที่ต้องการให้ลูกไปตก หร้อมทั้งกระดกข้อมือเล็กน้อย
ท่าทางก่อนถูกลูกคล้ายท่าตบลูก ถ้าลูกมาโด่งแต่ขณะถูกลูกไม่ต้องใช้แรงมากให้ถูกลูกเบาๆ
ลูกหยอดจะหยอดลูกหน้ามือหรือหลังมือก็ได้
การรับลูกหยอด
การรับลูกหยอด ลูกจะมีระยะทางการวิ่งที่สั้น เพียงครึ่งของสนาม การรับนี้ผู้ได้รับต้องวิ่งเข้ารับลูกในระดับที่สูงยิ่งสูงเท่าใด จะมีมุมที่ตีลูกกว้างเท่านั้น และบางทีอาจให้ผู้รับเล่นลูกหยอดสองจังหวะได้ หรือบางทีผู้รับหยอดลูกทิ้งไว้หน้าตาข้ายก็ได้
ขณะรับลูกหยอด ควรเข้าไปใกล้ตาข่ายให้เร็ว และยกแร็กเก็ตชูขึ้นสูง เพื่อตะปบลูกหยอดที่ข้ามพ้นตาข่ายมาได้เร็วขึ้น